Tuesday, December 14, 2010

X-Matrix

The annual operating plan somtimes is developed and displayed using the X-Matrix.

Establish the results of goals for next year, take the strategies and tie them to tactics,

make sure the tactics can be measured (targets) and have individuals assigned ownership

of tactics and targets.


Start by listing the business strategies on the left side of the X.

Next comes deciding on the tactics to achieve these strategies and recording them

in the Tactics block above the X.


There aught to be correlation between the tactics and the strategies, some stronger than others.

A tactic may even address more than one strategy.

The correlation table in the top left corner is meant to test the linkage between strategy and tactics.

Have a strategy without a tactic?


Tactics imply process change and improvement.

These are recorded in the Process block to the right of the X.

Again correlation is tested between tactics and the targeted process changes in the correlation matrix above the process block to the north east of the X.


We record the process improvement matrixes in the Results block located below the X.

Again we have to look at the correlations between processes and improvement matrixes.

Matrixes are tied back to strategy to close the loop in the correlation matrix in the bottom left.


To the right of the process block we list the people or teams involved and make another accountability correlation in the top right corner of the X-Matrix.


Keep the plan up to date and in full public view.


Wednesday, November 12, 2008

Autumn@Korea

ผ่านทริปกระโดดที่เกาหลีมา 2 อาทิตย์แล้ว
22-27 ต.ค. กับการตะลุยเที่ยวเกาหลีแบบไม่ง้อทัวร์
ทริปนี้มีเรื่องตื่นเต้นมากมาย...โดยเฉพาะเรื่องนิ่มๆ ที่ไม่น่าพลาด
ตั้งแต่จองตั๋วผิดวัน ทำให้เกือบตกเครื่อง
แถมหนีที่บ้านไปไม่บอกใคร...แต่โดนจับได้ด้วยเรื่องตื้นๆ
และอื่นๆ อีกมากมาย...รอแป๊บนะ เดี๋ยวมาเล่าต่อ

Wednesday, May 03, 2006

เทคนิค 9 ประการสู่การเพิ่มผลผลิตในการทำงาน

การเพิ่มผลผลิต เป็นเรื่องของจิตสำนึกและความเชื่อมั่นว่าเราสามารถจะทำสิ่งต่างๆ ในวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานและพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ ถ้าทุกคนตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการเพิ่มผลผลิต ก็จะช่วยลดต้นทุนในการทำงาน และได้รับผลตอบแทนมากขึ้นด้วยเช่นกัน

เทคนิคที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตในการทำงาน
ประการที่ 1 วางแผนและทำให้ได้ตามแผน
ควรมีการวางแผนการทำงาน ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแค่การวางแผนในใจเท่านั้น แต่ต้องมีการบันทึกเพื่อให้เกิดการปฏิบัติตามแผนนั้นๆ อาจบันทึกลงใน Diary ประจำวัน หรือหากอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำสามารถใช้โปรแกรม Microsoft Office Outlook ก็จะสะดวกยิ่งขึ้น
สิ่งที่ควรบันทึกลงในแผนการทำงาน ได้แก่
1. แผนการทำงานในแต่ละวัน เช่น กิจกรรมที่ต้องทำ การนัดหมายไม่ว่าจะเป็นการนัดพบตัวบุคคลหรือการนัดหมายทางโทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งการเตือนความจำในเรื่องสำคัญๆ
2. กิจกรรมที่จะทำต้องเขียนเป้าหมายของงานให้ชัดเจน และจัดลำดับความสำคัญ เช่น
??? งานที่ต้องทำในวันนี้
?? งานที่ควรทำในวันนี้
? งานที่ควรจะทำ ถ้ามีเวลา
3. สำหรับการนัดหมาย ควรระบุเวลาและใส่รายชื่อบุคคลที่จะต้องพบหรือโทรหา รวมถึงเรื่องที่จะต้องพูดด้วย
4. ควรโน๊ตเป็นพิเศษในส่วนช่วยเตือนความจำ โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องติดตามหรือสอบถาม กรณีมีงานแทรกเข้ามาระหว่างวัน

ประการที่ 2 การจัดลำดับความสำคัญของงาน
สิ่งที่สำคัญในการทำงานและเป็นเรื่องยากสำหรับมือใหม่ก็คือการจัดลำดับความสำคัญของงาน ซึ่งจะใช้เป็นหลักประกันว่า หากไม่สามารถทำงานได้เสร็จทั้งหมด แต่ก็ทำงานที่สำคัญได้สำเร็จ สำหรับมือใหม่หัดจัด อย่างน้อยควรจะต้องรู้กำหนดการของงานที่ได้รับมอบหมาย อาจสอบถามจากผู้บังคับบัญชาหรือผู้มอบหมาย แล้วนำงานทุกชิ้นมาเปรียบเทียบว่าด้วยศักยภาพของตัวเราแล้ว จะใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วจึงค่อยจัดตารางการทำงาน ที่สำคัญก็คือ ต้องทำให้ได้ตามที่วางแผนไว้ เพราะฉะนั้นการวางแผนควรเผื่อเวลาไว้สำหรับการเกิดกรณีฉุกเฉินด้วย

ประการที่ 3 บริหารการใช้โทรศัพท์ให้เกิดประสิทธิผล
1. เมื่อรับโทรศัพท์ อันดับแรกต้องบอกสถานที่ทำงาน แผนก หรือชื่อโดยทันที
2. ควรเตรียมกระดาษ ปากกาไว้ข้างๆ โทรศัพท์ตลอดเวลา เพื่อจะได้บันทึกข้อความได้ทันท่วงที
3. ต้องมีเบอร์โทรศัพท์ที่จะต้องติดต่ออยู่เสมอๆวางไว้ใกล้ๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการค้นหาเบอร์ที่ต้องการ
4. ก่อนจะลงมือโทรศัพท์ ต้องคิดเสียก่อนว่าต้องการพูดเรื่องอะไร ทางที่ดีก็ควรบันทึกไว้เพื่อเตือนความจำ
5. พยายามรวบรวมเรื่องต่างๆ ที่จะโทรศัพท์แล้วจัดการโทรศัพท์ติดต่อให้เสร็จเพียงครั้งเดียวถ้าเป็นไปได้ โดยอาจจะเป็นช่วงเช้าของแต่ละวัน เพื่อจะได้มีเวลาสำหรับงานอื่นๆ
6. การเจรจาควรพยายามพูดให้รวบรัดและถูกต้อง โดยคิดถึงหลัก TEA ( Tell : บอกจุดประสงค์ที่โทร , Explain : อธิบายข้อความให้ชัดเจนและกระชับ , Action : บอกสิ่งที่คุณต้องการให้เขาทำ )
7. ถ้าคุณโทรหาใครและเขาไม่อยู่ ควรฝากข้อความไว้ และเช่นเดียวกัน หากจะออกไปธุระก็ต้องบอกให้เพื่อนร่วมงานรู้ว่า ไปที่ไหน และจะกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อไหร่

ประการที่ 4 จัดโต๊ะทำงานให้พร้อมที่จะทำงาน
การจัดโต๊ะทำงานให้พร้อมที่จะทำงาน จะช่วยให้ไม่เสียเวลาในการค้นหาของที่ต้องการ และการจัดอุปกรณ์หรือเครื่องเขียนที่จำเป็นต้องใช้ ให้พร้อมอยู่บนโต๊ะในที่ๆ เหมาะสม จะช่วยให้เกิดความสะดวกในการหยิบใช้และดูเรียบร้อย รวมทั้งยังช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการทำงานอีกด้วย

ประการที่ 5 ไม่จับปลาสองมือ
จงลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนกว่าคุณจะทำงานชิ้นนั้นสำเร็จ ไม่ทำงานสองอย่างในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้สมาธิของคุณหายไปครึ่งหนึ่ง

ประการที่ 6 จัดการกับเอกสารบนโต๊ะให้หมด
ถ้ามีจดหมายที่ต้องตอบ รายงานที่ต้องอ่าน หรือทำสรุป กระดาษเอกสารที่ต้องเก็บรวบรวมเข้าแฟ้มให้รีบทำในทันที ที่สำคัญก็คือพยายามระบายเอกสารออกจากโต๊ะทำงานให้เร็วที่สุด

ประการที่ 7 อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง
การผลัดวันประกันพรุ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของผู้ที่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า บางครั้งเราก็หลีกเลี่ยงงานเพราะความเบื่อ แต่ถ้าเริ่มต้นทำเสีย ก็จะลดความรู้สึกนั้นได้ ดีกว่าจะมัวนั่งคิดว่ายากและเยอะเลยไม่ทำ

ประการที่ 8 ตัดความกังวล
ความกังวลเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่มีความกดดันและชอบปล่อยเวลาว่าง วิธีที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาความกังวลก็คือ พยายามทำหรือปฏิบัติในสิ่งนั้นไม่ว่าจะกังวลมากแค่ไหน และพยายามลดความรู้สึกโดย
1. คิดว่า “การมีชีวิตอยู่ในวันหนึ่งๆ คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้ แต่คุณสามารถทำพรุ่งนี้ให้ดีได้ โดยการทำวันนี้ให้ดีก่อน”
2. อย่าใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งความจริงแล้วไม่มีอะไรสำคัญ
3. เผชิญกับสิ่งที่คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยทำให้ดีที่สุดในสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้น “ถ้าชีวิตให้มะนาวแก่คุณ คุณก็ต้องคั้นน้ำมะนาวออกมาให้ได้”
4. อย่าใส่ใจกับคนรอบข้างมากเกินไป ถ้าคุณกังวลเกี่ยวกับคนรอบตัวมากๆ ก็ให้กลับไปนึกว่าเค้ามีอิทธิพลอะไรกับคุณบ้าง และมันมากขนาดที่จะทำให้คุณเป็นกังวลได้เชียวหรือ


ประการที่ 9 คิด ร่าง และเรียบเรียง
คุณต้องฝึกนิสัยการทำงานให้รู้จัก คิด ร่าง และเรียบเรียงก่อน แล้วค่อยลงมือทำ ซึ่งทำให้คุณสามารถปฏิบัติงานได้โดยใช้เวลาน้อยลง ดังนี้
คิด โดยใช้หลัก 4 W 1 H
Who คุณทำให้ใคร ?
What คุณต้องการอะไรจากที่ทำ ?
Why ทำไมคุณถึงทำ ?
When เป้าหมายของคุณคือเมื่อไหร่ ?
How คุณจะทำอย่างไร ?
ร่าง จัดลำดับความคิดที่ต้องแสดงออกลงในเศษกระดาษก่อน เฉพาะประเด็นสำคัญ
เรียบเรียง เตรียมประเด็นต่างๆ นั้นเรียบเรียงคำพูดหรือคำสั่งใหม่ให้เหมาะสม ขจัดประเด็นที่
ไม่เกี่ยวข้องออกไป

เทคนิคการเพิ่มผลผลิตไม่ได้จบเพียงเท่านี้ แต่อย่างไรก็ตามเทคนิค 9 ประการนี้ จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อ คุณได้ลงมือปฏิบัติตาม เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด

ชีวิต จะไม่เดือดร้อนถ้าหากมีออม มีออมไม่มีอด....ออม 1 ส่วน ใช้ 3 ส่วน” สโลแกนคุ้นหูจากโฆษณาธนาคารชิ้นที่มีเด็กหน้าแป้นขายกาแฟผู้เพียรพยายามหยอดเงินใส่กระปุกเป็นพรีเซ็นเตอร์ ตอกย้ำให้เห็นถึงค่านิยมการออมเงินที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน พ่อแม่มักสอนให้ลูก “ประหยัดและอดออม” แต่กลับไม่ได้สอนให้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการ “ใช้จ่ายเงินอย่างรู้คุณค่า” เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า “คนจะรวยได้ถ้าหาเงินเก่ง” ทั้งที่ความจริงแล้ว “คนจะรวยได้ถ้ารู้จักใช้จ่ายอย่างฉลาด” ต่างหาก
จงอย่ากลัวจนไม่กล้าเปิดใจให้เห็นค่าใช้จ่ายที่แท้จริง ผู้บริหารหลายๆ ท่าน มักจะมองข้ามค่าใช้จ่ายแฝง (Implicit Cost) เพราะถ้านำมันมานับรวมกับค่าใช้จ่ายจริง (Explicit Cost) จะทำให้ตัวเลขต้นทุนพุ่งสูงขึ้นจนรับไม่ได้ อันที่จริงแล้วการมองหาค่าใช้จ่ายแฝงซึ่งเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงๆ นั้น เป็นหนทางที่จะทำให้เห็นความสำคัญของการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งนำไปสู่กระบวนการคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ยกตัวอย่างของร้านสะดวกซื้อสีเขียวแดงที่เพียงแค่ลดขนาดของใบกำกับภาษีอย่างย่อต่อใบให้สั้นลงเพียงเล็กน้อย แต่กลับสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึงเดือนละหลายหมื่นบาท
การใช้กระดาษทั่วๆ ไปในสำนักงานก็เหมือนกัน ทุกคนมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญโดยลืมนึกถึงที่มาของกระดาษหนึ่งแผ่นที่แสนสิ้นเปลืองทรัพยากรของชาติ ลองย้อนนึกดูสิว่ากระดาษทุกแผ่นถูกใช้อย่างคุ้มค่าหรือยัง หลังจากใช้แล้วลองนำไปขายเพื่อสร้างมูลค่าของขยะให้เพิ่มขึ้นดีหรือไม่ มีน้องคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ที่บริษัท ต้องถ่ายเอกสารต่อวันในปริมาณมาก จึงได้เปลี่ยนการใช้กระดาษจากขนาด A4 เป็นขนาด A3 ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับขนาด A4 2 แผ่น สำหรับใช้ถ่ายเอกสาร เพราะค่าบริการของการดูแลเครื่องถ่ายเอกสารจะคิดเป็นรายแผ่น ซึ่งหากเทียบกับการลงทุนค่าเครื่องตัดกระดาษในราคาหมื่นต้นๆ และค่าแรงที่ใช้ในการตัดกระดาษ เมื่อถึงจุดคุ้มทุนแล้วเครื่องตัดกระดาษยังไม่มีการสึกหรอให้เห็น เป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนในระยะยาว นี่คือการลดค่าใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด
เมื่อเร็วๆ นี้มีการเปิดตัวสินค้าชิ้นหนึ่ง ซึ่งคาดว่าคงไม่ได้รับความสนใจจากคนไทยเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีราคาสูง โดยปกติ คนไทยนั้นชอบซื้อของถูกโดยไม่คำนึงถึงอายุการใช้งานหรือค่าซ่อมบำรุง ทั้งที่หากลองคิดให้ถี่ถ้วนอาจเห็นในมุมที่คนอื่นมองข้ามไปได้ สินค้าที่ว่าเป็นสารเคลือบกระจกชนิดหนึ่งจากญี่ปุ่น ประเทศที่พลเมืองเค้าช่างคิดช่างหาสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้เราเกิดความประหลาดใจอยู่เรื่อย สารเคลือบกระจกนี้มีความพิเศษอยู่ที่สามารถป้องกันรังสียูวี รังสีอินฟาเรด และลดความร้อนจากแสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางกระจกได้ โดยกระจกยังคงสภาพใสเหมือนเดิม สินค้านี้ถูกพัฒนามาสู้กับฟิล์มกรองแสงปกติที่ทำให้เสียทัศนียภาพ ถามว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงยอมเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพื่อพัฒนาและใช้สิ่งเหล่านี้ หากคิดนอกกรอบออกไป จะพบว่าเค้าไม่ได้มองเพียงแค่การลงทุนเพื่อความสวยงามหรือแปลกใหม่เท่านั้น หากแต่มองลึกลงไปถึงการใช้ทรัพยากรอื่นๆ ในอนาคตอีกด้วย ทั้งเรื่องอุปกรณ์เครื่องใช้ หรือแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ในสำนักงาน ที่จะต้องสัมผัสกับความร้อนจากอุณหภูมิภายนอก เป็นเหตุให้อายุการใช้งานสั้นกว่าเวลาอันควร, การลงทุนค่ามู่ลี่บังแดดหรือฟิล์มกรองแสงที่จะบดบังทิวทัศน์จากภายนอก หรือแม้แต่การใช้ทรัพยากรบุคคล ซึ่งเขามองว่าหากพนักงานทำงานในบรรยากาศที่ดี มีอุณหภูมิที่เหมาะสมแล้ว ย่อมทำให้การทำงานมีความสุขมากขึ้นและส่งผลให้ประสิทธิภาพของงานเพิ่มตามไปด้วย จะเห็นได้ว่าการลงทุนในครั้งนี้นั้น ได้ผลตอบแทนหลายชั้นเลยทีเดียว
การปลูกฝังค่านิยมให้รู้จักใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาดแก่พนักงานก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการลดภาระค่าใช้จ่ายลงได้อย่างมาก ลูกจ้างส่วนใหญ่มักมองข้ามค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เพราะถือว่าไม่ใช่บริษัทตัวเอง โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่มองข้ามไปนั้นมีมูลค่าสูงอย่างน่าอัศจรรย์ ในปัจจุบันจึงมีการผลิตอุปกรณ์บริหารจัดการไฟฟ้าขึ้นมา เพื่อให้เจ้าของอาคารสามารถควบคุมปริมาณการใช้ไฟฟ้าตามต้องการ เพราะจะทำให้สามารถลดภาระค่าไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นได้ แต่การลงทุนที่ดูสิ้นเปลืองอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากบุคลากรมีจิตสำนึกในการบริหารทรัพยากรขององค์กร
การใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดอาจฟังดูไม่คุ้นเคยสำหรับคนไทยดังที่กล่าวข้างต้น แต่อย่าลืมว่าคนไทยเป็นชนชาติที่ชาญฉลาดและเก่งฉกาจในเรื่องพลิกแพลง ฉะนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่ทำไม่ได้แต่อยู่ที่ยังไม่เริ่มทำต่างหาก ในอนาคต หากสามารถฝังรากแนวคิดนี้ให้แก่ลูกหลานได้ นอกจากประเทศชาติ ประชาชนจะมั่งคั่งแล้ว เราคงสามารถรักษาทรัพยากรให้สมบูรณ์ไปได้อีกนาน และในโอกาสหน้าเราจะมาว่ากันถึงเรื่องการใช้
ทรัพยากรรอบตัวอย่างไรให้คุ้มค่าค่ะ

ใช้ทรัพยากรรอบตัวอย่างไรให้คุ้มค่า

หากถามว่าทำไมถึงต้องใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ก็ต้องถามกลับว่ามีใครบ้างที่ต้องการให้องค์กรอยู่รอดได้โดยการลดเงินเดือน ควบคุมค่าสวัสดิการ งดการจ่ายโบนัส หรือลดจำนวนวันในการทำงานลงเพื่อลดค่าโสหุ้ยต่างๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ เพื่อรักษาสภาพของธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้ และจะทนอยู่ในสภาพแบบนั้นไปได้อีกนานเท่าใด คงเป็นคำถามที่ทุกคนไม่สามารถให้คำตอบได้และไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่จะต้องช่วยกันลดต้นทุนด้วยการลดความสูญเสียทุกรูปแบบที่เกิดขึ้น เพื่อความอยู่รอดโดยรวม
ก่อนอื่นก็ต้องมาดูว่าอะไรบ้างที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเรา ที่เห็นแน่ๆ คงหนีไม่พ้นระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ซึ่งเมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานๆ จะพบว่าระดับความสว่างจะลดลง เนื่องจากการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น หลอดไฟเสื่อมสภาพ โคมไฟสกปรก หรือแม้แต่ผนังและฝ้าเพดานล้วนแต่มีผลต่อการลดค่าการสะท้อนแสง ดังนั้นการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ จึงมีความจำเป็นในการที่จะให้ได้มาซึ่งระบบไฟฟ้าแสงสว่างที่ดี รวมถึงการไม่ใช้แสงสว่างในเวลาที่ไม่จำเป็น อาจต้องแยกสวิตช์ เพื่อให้สามารถเลือกเปิด-ปิดไฟได้อย่างอิสระ ลดพลังงานที่สูญเสียไปเฉยๆ ในส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน
อย่างเรื่องกระดาษก็สำคัญ การเลือก Package ที่มันวาวจะมีข้อดีมากกว่า เพราะมีการเคลือบสาร PE (Polyethelyne) เพื่อควบคุมความชื้นจากภายนอก เนื่องจากกระดาษถ้าเก็บไว้นานๆ หากสัมผัสกับความชื้นและความแห้งมากเกินไปแล้ว สีจะเพี้ยนหรือเกิดความเสียหายได้ เพราะความชื้นที่สูงเกินไปจะทำให้กระดาษเสีย หรือความชื้นที่น้อยเกินไป อาจเกิดไฟฟ้าสถิตในกระดาษ เมื่อนำไปใช้ในงานพิมพ์หรือถ่ายเอกสารจะทำให้เครื่องเสียได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นแม้แต่วิธีการเลือกซื้อและเก็บรักษากระดาษก็เป็นเรื่องสำคัญ
จากนั้นมามองว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือในการทำงานที่ใกล้ตัวที่สุดในตอนนี้คืออะไร ถ้ายึดเอาความเห็นส่วนมากเป็นที่ตั้งแล้ว คงหนีไม่พ้นคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันไม่ว่าจะทำงานในตำแหน่งหรือแผนกไหน คอมพิวเตอร์ถือเป็นอาวุธหลักที่สำคัญในชีวิตการทำงาน อาจยกไว้สำหรับผู้บริหารรุ่นเก่าบางท่าน ที่ถึงแม้จะใช้งานไม่เป็นหรือไม่คล่องนัก แต่ท่านก็สามารถให้คนมาทำงานด้านนี้แทนได้ แล้วท่านคิดว่าได้ใช้อุปกรณ์เหล่านี้คุ้มค่าหรือยัง
ความสามารถของคอมพิวเตอร์มีมากมายจนเหลือคณานับ ถ้าจะให้กล่าวถึงทั้งหมด อาจต้องเขียนกันอีกหลายสิบฉบับ เอาเป็นว่าเราจะมาดูถึงเรื่องการเพิ่มผลผลิตจากการใช้คอมพิวเตอร์ดีกว่า หลายๆ คนมองข้ามเรื่องทำอย่างไรให้ใช้คอมพิวเตอร์ได้เร็วขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่เพิ่มศักยภาพของเครื่องเท่านั้น หากแต่ผู้ใช้งานต้องรู้จักใช้เทคนิคต่างๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย เมื่อใช้งานได้เร็วขึ้นผลผลิตที่ได้ก็จะมากขึ้นเช่นกัน
ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นแล้ว คนทำงานมักจะเสียเวลาไปกับการใช้เม้าส์ (mouse) เพื่อคลิกคำสั่งต่างๆ เคยลองจับเวลาดูหรือเปล่าว่า ได้สูญเสียไปกับการละมือจากคีย์บอร์ดไปหาเม้าส์เป็นเวลาเท่าไหร่และวันละกี่ครั้ง หากลดเวลาตรงนั้นไป ผลผลิตที่จะได้จากการทำงานจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ อันนี้ฝากเป็นการบ้านให้ลองไปทดสอบดู
โดยปกติ คำสั่งที่มีการใช้งานบ่อยๆ ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะมีเมนูลัดให้สามารถกดจากคีย์บอร์ดได้ โดยอาจเป็น Ctrl, Shift, Alt ตามด้วยตัวอักษร ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการทำงาน คำสั่งเหล่านี้จะใช้ได้ดีมากกับการทำงานไปในระยะหนึ่ง เพราะระหว่างที่ทำงานติดพัน ความคิดในสมองกำลังแล่นและขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว จะไม่ต้องมาเสียอารมณ์กับการหยุดความคิดเพื่อที่จะเลื่อนมือไปยังเม้าส์คลิกคำสั่ง save ด้วยกลัวข้อมูลที่ทำไว้จะหายไป แต่ก็ใช่ว่าเม้าส์จะไม่มีประโยชน์เสียเลยทีเดียว การใช้งานในบางเรื่องยังมีความจำเป็นต้องใช้เม้าส์เป็นหลักอยู่ เพียงแต่การใช้คีย์บอร์ดจะช่วยลดเวลาในการทำงานลงได้บ้าง หลายคนมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ แต่หากฝึกฝนจนเกิดความชำนาญแล้ว จะเห็นได้ถึงความแตกต่างอย่างมากเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยเพิ่มผลผลิตในสิ่งที่ใกล้มือที่สุดแล้ว ยังแสดงถึงความเป็น Professional ได้อีกด้วย
ทรัพยากรทุกอย่างสามารถใช้ให้คุ้มค่าสุดๆ ได้ เพียงแค่มองให้ออกว่าสิ่งที่มีอยู่นั้นน่าจะเอื้อประโยชน์อะไรแก่เราบ้าง แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ใช้ประโยชน์เหล่านั้นได้อย่างครบถ้วน ฉบับนี้จึงขอทิ้งท้ายให้ลองไปฝึกใช้คีย์บอร์ดแทนเม้าส์ดูบ้าง ได้ผลอย่างไรส่งข่าวมาให้ทราบด้วยแล้วกันนะคะ